วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ทำอย่างไร! เมื่อเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ น้ำร้อนลวก

บาดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกพบได้บ่อย โดยมากมักจะมีสาเหตุจากอุบัติเหตุ ความประมาท ขาดความระมัดระวัง ซึ่งอาการการบาดเจ็บจะมีความรุนแรงมากน้อยเพียงใดขึ้นกับหลายปัจจัยครับ ปัจจัยเหล่านี้ ได้แก่ ระยะเวลาที่ผิวหนังสัมผัสกับความร้อน อวัยวะที่ได้รับบาดเจ็บ ระดับความลึกของบาดแผลและขนาดความกว้างพื้นที่ของบาดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกนั้นๆ
3 ระดับความลึกของบาดแผล
ความลึก ระดับ 1 คือ บาดแผลอยู่แค่เพียงผิวหนังชั้นหนังกำพร้าเท่านั้น ซึ่งโดยปกติจะหายเร็วและไม่เกิดแผลเป็น
ความลึก ระดับ 2 คือ บาดเจ็บในบริเวณผิวหนังชั้นหนังแท้ บาดแผลประเภทนี้ ถ้าไม่มีภาวะติดเชื้อแทรกซ้อนมักจะหายภายใน 2-3 อาทิตย์ ขึ้นอยู่กับความลึกของบาดแผลจากอุบัติเหตุไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเกิดร่องรอยผิดปกติของบริเวณผิวหนัง หรืออาจมีโอกาสเกิดแผลเป็น แผลหดรั้งตามได้ ถ้าได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง  กรณีถูกไฟไหม้ หากบาดเจ็บไม่ลึกมากก็จะพบว่าบริเวณผิวหนังจะมีตุ่มพองใส เมื่อตุ่มพองนี้แตกออกบริเวณบาดแผลเบื้องล่างจะเป็นสีชมพู และผู้ป่วยจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนมาก แต่ถ้าพยาธิสภาพค่อนข้างลึกจะพบว่า สีผิวหนังจะเปลี่ยนไปเป็นสีเหลืองหรือขาว ไม่ค่อยเจ็บ
ความลึก ระดับ 3 คือ ชั้นผิวหนังทั้งหมดถูกทำลายด้วยความร้อน บาดแผลเหล่านี้มักจะไม่หายเอง มีแนวโน้มการติดเชื้อของบาดแผลสูง และมีโอกาสเกิดแผลหดรั้งตามมาสูงมากถ้าได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง
  สิ่งแรกที่ควรทำเมื่อโดนไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
1.ล้างด้วยน้ำสะอาดที่อุณหภูมิปกติ ซึ่งเชื่อว่าจะมีผลช่วยลดการหลั่งสารที่ทำให้เกิดอาการปวดบริเวณบาดแผลได้
2.หลังจากนั้นซับด้วยผ้าแห้งสะอาด แล้วสังเกตว่าถ้าผิวหนังมีรอยถลอก มีตุ่มพองใส หรือมีสีของผิวหนังเปลี่ยนไป ควรรีบไปพบแพทย์ แต่ถ้าไฟไหม้ น้ำร้อนลวกบริเวณใบหน้า จะต้องได้รับการรักษาจากแพทย์โดยเร็วที่สุด เพราะบริเวณใบหน้ามักจะเกิดอาการระคายเคืองจากยาที่ใช้ ห้ามใส่ยาใดๆ ก่อนถึงมือแพทย์ เพราะผู้ป่วยแต่ละคนมีอาการตอบสนองต่อตัวยาไม่เหมือนกัน จะต้องขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์
ข้อห้ามเมื่อโดนไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
ไม่ควรใส่ตัวยา/สารใดๆ ทาลงบนบาดแผล ถ้าไม่แน่ใจในสรรพคุณที่ถูกต้องของยาชนิดนั้น โดยเฉพาะยาสีฟัน น้ำปลา เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อบาดแผล เพิ่มโอกาสการเกิดบาดแผลติดเชื้อ และทำให้รักษาได้ยากขึ้น รอยแผลจากไฟไหม้ น้ำร้อนลวก สามารถเกิดได้ในกรณีที่บาดแผลมีความลึกค่อนข้างมาก หรือ ไม่ได้รับการรักษาโดยถูกต้อง แต่เมื่อเกิดรอยแผลจากไฟไหม้ น้ำร้อนลวกขึ้นแล้ว สามารถรักษาและทำให้ดีขึ้นได้ แม้ว่าจ ะไม่สามารถทำให้สีผิวกลับมาเหมือนปกติได้ดังเดิมก็ตาม
      การรักษาเริ่มตั้งแต่…
1. ใช้ยาทาในระยะเริ่มต้น
2.การใส่ชุดผ้ารัด ในกรณีที่รอยแผลจากไฟไหม้น้ำร้อนลวกมีแนวโน้มที่จะนูนมากขึ้นและไม่ตอบสนองต่อการใช้ยาทา
3.ฉีดยาลบรอยแผลเป็น ซึ่งจะทำได้ในกรณีที่เกิดรอยแผลนูนและไม่ตอบสนองต่อการใส่ชุดผ้ารัด
4.ผ่าตัดแก้ไข โดยแพทย์จะต้องทำการประเมินลักษณะและความรุนแรงของบาดแผล
ทั้งนี้ ขึ้นกับชนิดและความรุนแรงของบาดแผลหดรั้งเหล่านั้น… โดยทั่วไปช่วงอายุของผู้ป่วยไม่เป็นอุปสรรคในการรักษาบาดแผล และวิทยาการการรักษา ณ ปัจจุบันมีความก้าวหน้าไปมาก
       ดูแลตนเองหลังการรักษา
1.หลีกเลี่ยงการสัมผัสฝุ่นผง หรืออะไรก็ตามที่จะทำให้ระคายเคือง
2.หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ทุกชนิด เพราะหากโดนบริเวณแผลก็อาจทำให้คันหรือมีการติดเชื้อได้ง่าย
3.รับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น พวกเนื้อสัตว์ต่างๆ เพื่อเสริมการสร้างเนื้อเยื่อใหม่บริเวณบาดแผลให้บาดแผลสมานปิดเร็วขึ้น
4.หมั่นทายา/รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ที่สำคัญ ต้องรักษาความสะอาดแผลให้ดี
อุบัติเหตุไฟไหม้ น้ำร้อนลวก เป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้บ่อยในชีวิตประจำวัน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดจากความประมาทแทบทั้งสิ้น ถ้าต้องทำอาหารและอาจต้องสัมผัสของร้อน ควรระมัดระวังและป้องกันตนเองให้ดี ในบ้านที่มีเด็กเล็ก ควรระมัดระวังและจัดหาสถานที่ที่วางวัสดุที่มีความร้อนให้เหมาะสม ห่างจากมือเด็กเอื้อมถึงได้ ส่วนบุคลากรที่ต้องทำงานกับเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือเครื่องทำความร้อนต่างๆ ที่มีโอกาสสัมผัสกับเปลวไฟหรือเปลวเพลิงสูง ควรมีการป้องกันตนเองให้เหมาะสมด้วย ทั้งนี้เพื่อลดโอกาสเกิดอุบัติภัยไฟไหม้ น้ำร้อนลวกนี้ครับ

10นิสัยทำร้ายสมองที่ไม่ควรมองข้าม

ใครที่กำลังอยู่ในภาวะสมองตื้อคิดอะไรไม่ค่อยออก อย่ามองว่าเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะสาเหตุนั้นอาจมาจากการที่สมองโดนทำร้าย วันนี้มีความรู้เกี่ยวกับ 10 นิสัยที่ทำร้ายสมองมาฝากกัน
1.ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่ที่จริงแล้วการไม่ทานอาหารเช้าเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ และทำให้สมองเสื่อมได้
2.กินอาหารมากเกินไป การกินในจำนวนที่เยอะเกินพอดี เป็นต้นเหตุทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น
3.การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุของโรคสมองฝ่อและเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์
4.ทานของหวานมากเกินไป มีผลมากต่อการทำร้ายสมอง เพราะการทานหวานมากเกินไปจะขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาสมอง
5.การอดนอน คนที่อดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้ ส่วนการนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน
6.มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลงเรื่อยๆ
7.ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความคิดเป็นเวลานานเป็นต้นเหตุของอาการสมองฝ่อ
8.เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง ถ้าไม่ค่อยพูดจากับคนอื่นสมองก็จะไม่ได้แสดงประสิทธิภาพเท่าที่ควร
9.นอนคลุมโปง เป็นเรื่องเล็กน้อยในความคิดของใครหลายคน แต่ที่จริงแล้วการนอนคลุมโปงเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
10.ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว
สมองนับเป็นอวัยวะส่วนที่สำคัญของเรา อย่าลืมใส่ใจและรักษาสุขภาพสมองของตัวเองให้ดี

ทำอย่างไรเมื่อเหน็บกิน

อาการเหน็บชาเกิดขึ้นเมื่อมีแรงกดทับส่วนใดส่วนหนึ่งบนแขนหรือขา ทำให้เส้นเลือดไม่สามารถนำออกซิเจนและน้ำตาลกลูโคสไปยังเนื้อเยื่อหรือเส้นประสาทได้ มีผลคือ เส้นประสาทไม่สามารถสื่อสัญญาณไปยังสมอง จึงทำให้เกิดความรู้สึกชาและเจ็บจี๊ดเหมือนถูกเข็มแทง ใครที่เป็นบ่อย ๆ ควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินบี 1 เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวแดง ข้าวโอ๊ต รำข้าว ตับ ไข่ มันเทศ เป็นต้น หากไม่หายควรไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเบาหวานได้
ใครที่เคยเป็นคงรู้ว่าช่วงเวลาที่เหน็บกินนั้น ทรมานแค่ไหน วิธีแก้ไขง่าย ๆ แนะนำให้นวดที่นิ้วโป้งเท้าข้างที่โดนเหน็บกิน โดยบีบแรง ๆ จะสามารถบรรเทาอาการได้ ส่วนคนโบราณมีความเชื่อว่า เมื่อเกิดอาการเหน็บชา ให้หาก้านไม้ขีด หรือกิ่งไม้ขนาดเล็ก ๆ ที่มีขนาดใกล้เคียงก็ได้ เหน็บเอาไว้ที่หูข้างที่มีอาการเหน็บชา ประมาณ 20 วินาที จะช่วยทำให้ร่างกายกลับมาเป็นปกติได้ อีกวิธีหนึ่งคือ ให้นำเชือกมาผูกที่หัวแม่เท้าข้างที่เป็นเหน็บ รัดให้แน่น ๆ 2-3 รอบ แล้วรอสักครู่ เท้าที่เป็นเหน็บจะหายเป็นปลิดทิ้งเลยทีเดียว

คัน ‘หู’ คู่โรค

“มุมสุขภาพ” วันนี้ “นพ.กฤษดา ศิรามพุช” ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ บอกเล่าถึง อาการ “คัน” ยิ่งถ้าเป็นอวัยวะที่มีซอกหลืบเยอะอย่าง “หู” ก็มักตีคู่มากับการเกา และขั้นกว่าคือมีเครื่องมือช่วย นั่นคือ “ไม้แคะหู” อุปกรณ์คู่มือยิ่งเกายิ่งมัน ยิ่งคันก็ยิ่งเกา และยิ่งเละ
เพราะการลากไม้แคะไปในท่อหูอ่อนๆ แต่ละครั้งจะทำให้เกิดรอยแผลเล็กๆ ขึ้นมากมายโดยเราไม่รู้ตัว
ปรากฏการณ์เจ็บๆคันๆยันหูอื้อจำต้องมีผู้ร้ายที่ต้องหาให้เจอ  เพราะบางทีถ้าเผลอไปคันเอาสุ่มๆจะเป็นเรื่องเนื่องด้วยหูเป็นอวัยวะซับซ้อนไม่ได้ใช้กั้นสมองอย่างเดียว หากแต่ช่วยในการทรงตัวให้เรายืนอยู่ติดพื้นได้  ถ้าเกิด “หูพัง” หรือ “หูดับ” จากเส้นประสาทขึ้นมาแล้วจะมีผลต่อการเดินดินของเรามากเลย

ซึ่งนับไปมาแล้วก็มีผู้ร้ายใกล้หูอยู่มากพอดู เริ่มจาก “แคะหูถี่” มีตัวช่วยเร่งปฏิกิริยาคือ “ไม้แคะหู” ถ้าเป็นไม้ธรรมดาก็ยังพอว่า แต่ถ้าหาไม้ไม่ได้แล้วจำต้องใช้ของใกล้ตัวอย่าง “เส้นผม” หรือ “ไม้จิ้มฟัน” แล้วละก็มีสิทธิ์ “หูป่วย” ได้เร็วขึ้น  โดยเป็นได้ตั้งแต่รูหูอักเสบไปจนถึงแก้วหูทะลุหนองทะลัก  วิธีแก้คืออย่าแคะหูถี่ไป โดยเฉพาะหลังอาบน้ำหูแฉะใหม่ๆ ไม่ควรแคะทันทีและถ้ามีอาการเจ็บๆ คันๆ ก็อาจต้องให้คุณหมอช่วยส่องดูสักนิด เพราะอาจมีเชื้อราแพร่พันธุ์อยู่


“มีอุบัติเหตุ”
 นอกจากการถูกกระทบกระแทกหูอย่างแรงจากการตกตึก, รถชน, ถูกสัมผัสบ้องหูด้วยหลังมือ แล้วอุบัติเหตุร้ายที่ทำลายหูที่สำคัญคือ “เสียง” ครับ  เสียงที่ดังเกิน 70 เดซิเบล (บ้านอยู่ติดถนนก็ใช่แล้ว) ก็เริ่มทำลายการได้ยินของหู  ถ้าดังมากเกิน 100 เดซิเบลจะทำลายประสาทหูชั้นในจนทำให้หูดับอย่างถาวรได้  การใช้หูฟังก็มีส่วนสำคัญ โดยเฉพาะหูฟังชนิดเสียบเข้าไปลึกล้ำแทบถึงก้านสมอง  ต้องพักหูบ้าง
“ว่ายน้ำบ่อย” ฉลามน้อยฉลามใหญ่แต่ไม่ใช่ฉลามบกมักมีปัญหา “หูแฉะ” เพราะแคะหูหลังว่ายน้ำ  และน้ำนั่นเองที่เป็นตัวทำให้ “หูเปื่อย” โดยเฉพาะท่อหูส่วนนอก  นักว่ายน้ำเป็นกันมาก เรื่อง “หูส่วนนอกอักเสบ (External Otitis)” จนฝรั่งตั้งชื่อให้โรคนี้ว่าเป็นโรคหูนักว่ายน้ำ(Swimmer’s ear) อาการที่ว่าอาจเป็นในคนที่เพิ่งว่ายน้ำใหม่ๆ ก็ได้  เกิดจากหูเปียกแล้วมือไม่อยู่สุขไปแคะเข้า
และ “ร้อยภูมิแพ้” แก้ไม่ยากหาก “คุมแพ้” ให้อยู่หมัด อาการภูมิแพ้สามารถขึ้นไปจมูก, ลูกตา และหูได้ทำให้คันยุบยิบเชียว ท่านที่ขึ้นเครื่องบินจะสังเกตได้ว่าเวลาเครื่องขึ้นหรือลงจะมีเสียงเด็กร้องฟีเจอริ่งเข้ามาด้วยเสมอ เพราะอาการตันที่ท่อหูจากภูมิแพ้ทำให้เจ็บปวดมากเวลาเครื่องบินเปลี่ยนระดับจากความดันอากาศข้างใน ให้คุมโรคแพ้ด้วยการออกกำลังกับกินอาหารต้านแพ้จะช่วยได้มาก
ที่สำคัญการ “แก้ด้วยยา”  ยาไม่ใช่ทางออกของร้อยโรคเสมอไป ยากินหลายอย่างที่ทำลายหูโดยเฉพาะยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อกลุ่มแบคทีเรียทางเดินปัสสาวะและทางเดินอาหาร  หรืออย่างยาฆ่าเชื้อ “วัณโรค” อย่างสเตร็ปโตมัยซินฉีดแล้วก็ทำให้ประสาทหูเสียได้  บางรายมีเสียงวิ้งๆหึ่งๆ น่ารำคาญเหมือนมีสถานีวิทยุหรือวงมโหรีไม่ได้รับเชิญอยู่ในหัว  ฟังมากๆ พาลจะเป็นโรคประสาทเอา  บางครั้งแม้หยุดยาแล้วอาการก็ยังไม่หายเพราะประสาทหูเสียถาวรไปแล้ว  อยากขอวอนให้ใช้ยาตามความจำเป็น

วิธีแก้ปัญหาส้นเท้าแตกลาย

ปัญหาส้นเท้าอย่างหนึ่งที่พบได้บ่อยๆ คือ ส้นเท้าแตกเป็นลายคล้ายๆกับรอยแยกบนแผ่นดิน บางรายที่มีอาการรุนแรงอาจถึงขั้นมีอาการเจ็บได้ การดูแลนั้นมีด้วยกันหลากหลายวิธีด้วยกัน คือ
1. เพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ผิวตรงบริเวณที่แตกบ่อยๆ โดยการทาครีมบำรุงผิว ผิวที่เท้าเรานั้นจะสามารถเก็บความชุ่มชื่นน้อยลง เมื่อมีอายุมากขึ้น
2. การเลือกสวมใส่รองเท้าส้นเปิดที่มีบุพื้นภายในด้วยวัสดุนุ่มๆ เพื่อช่วยลดการเสียดสีระหว่างผิวที่ส้นเท้ากับวัตถุเพราะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวหยาบกร้านมากขึ้นนั่นเอง
3. การทำสปาเท้า โดยวิธีง่ายๆ ด้วยตนเอง คือ ใช้เกลือทะเลประมาณ 1 กำมือ ผสมกับน้ำมันกานพลู 5 หยด และน้ำมันคาสเตอร์ 1 ช้อนชา เทรวมลงไปในน้ำอุ่นที่ได้เตรียมไว้ แล้วจึงแช่เท้าในน้ำอุ่นจนน้ำนั้นกลายเป็นน้ำเย็น จากนั้นให้ใช้หินพัมมิซหรือหินสำหรับขัดเท้าที่มีเนื้อเป็นฟองๆ นิ่มๆ ค่อยๆ ขัดเท้าบริเวณที่แตกลายออกเบาๆ ซึ่งนอกจากจะทำให้เท้าเนียนนุ่มแล้ว ยังมีการไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและเป็นการผ่อนคลายไปในตัว
เท้าแตก2
ลองนำวิธีเหล่านี้ไปใช้กันดูคะ รับรองได้ผลอย่างแน่นอน

ป้องกันเชื้อโรคที่แฝงมาจากเครื่องใช้ IT

ปัจจุบัน เครื่องใช้ IT มีบทบาทมากขึ้นในสังคมมนุษย์ เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่อำนวยความสะดวกในการทำกิจกรรมต่างๆ ของคนเรา ไม่ว่าจะเป็น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ ซึ่งประกอปไปด้วย คีย์บอร์ดและเม้าส์ ที่สัมผัสโดยตรง ล้วนสามารถที่จะติดเชื้อโรคได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะุอุปกรณ์ำไอทีที่ใช้ร่วมกันหรือที่เรียกว่า เป็นของสาธารณะ ซึ่งยากต่อการทำความสะอาดและป้องกันเชื้อโรค
เชื้อโรคที่มาจาก อุปกรณ์ IT
หากกล่าวถึงเชื้อโรคที่แฝงมาจากอุปกรณ์ไอทีคงหนีไม่พ้น 2 กลุ่มใหญ่ คือ แบคทีเรียและไวรัส ซึ่งมีผลร้ายที่ไม่แตกต่างกันมากกันมากนัก นอกจากนี้ให้อนุมานว่าอุปกรณ์ IT สาธารณะไม่สะอาด ดังนั้น ระหว่างการใช้งาน ไม่ควรใช้มือหรือนิ้วมือ นำอาหารเข้าปากเป็นอย่างยิ่ง และ ที่ลืมไม่ได้ คือ การล้างมือทำความสะอาดหลังการใช้งานอุปกรณ์ ITสาธารณะทุกชนิด ในทุกสถานที่ด้วย
แบคทีเรียที่ปนเปื้อนมักจะทำให้เกิดอาการ ไข้ อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายเหลวเป็นน้ำ บางกรณีอาจจะรุนแรงกระทั่งถ่ายเป็นมูกเลือดเลยทีเดียว นอกจากนี้แล้วอาการโรคอาหารเป็นพิษจากแบคทีเรียบางชนิดอาจจะทำให้เกิดอาการไตวายในเด็กได้ด้วย
ไวรัสที่ก่อโรค อาจจะแบ่งได้เป็นกลุ่มที่ทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษต่อระบบทางเดินอาหารเหมือนแบคทีเรีย ซึ่งพบว่าก่อโรคได้ทุกเพศ ทุกวัย และกลุ่มที่ก่อให้เกิดโรคตับอักเสบ อย่างที่หมอซุปเคยเล่าให้ฟังกรณีของการปนเปื้อนน้ำทะเลครับ
ข้อแนะนำสำหรับการป้องกัน
การทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคอย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะบริเวณที่เราสัมผัสบ่อยๆ เช่น คีย์บอร์ดและเม้า ควรทำความสะอาดล้างมือและนิ้วมือก่อนการใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังออกจากห้องน้ำ เป็นการป้องกันเชื้อโรคที่ปนเปื้อนมาจากการใช้ห้องน้ำสู่การสัมผัสของอุปกรณ์ไอที ป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่คนอื่น หากอุปกรณ์เหล่านี้เป็นของใช้สาธารณะ

รักษามือชา เท้าชา ด้วยสมุนไพร

อาการมือชา เท้าชา เกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ เช่น ขาดสารอาหารวิตามินต่างๆ ปลายเส้นประสาทอักเสบ เส้นเลือดส่วนปลายอักเสบ หรืออุดตัน การบำบัดรักษาสามารถใช้อาหารช่วยในการรักษา
มือชา เท้าชา
ใช้เมล็ดงา ๑ ลิตร รำปลายข้าว ๑ ลิตร กระเทียม ๑ กำมือ ฝานบางๆนำไปค่ำให้สุก บดเป็นผงผสมน้ำผึ้ง กินเป็นประจำจนกว่าจะหาย หรือนำถั่วเขียวกับข้าวกล้องปริมาณเท่าๆกันมาต้มจนเปื่อย รับประทานทุกวัน